วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 3


ประวัติ  ศ.ดร. สาโรธ  บัวศรี
      ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี เกิดที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.2459 เป็นบุตรคนโตของขุนประทุมสิริพันธ์ (เจริญ บัวศรี) และนางเปล่ง บัวศรี มีพี่น้อง 5 คน คือ สาโรช สารี สว่าง จำนง จงดี เป็นชาย 2 คน คือ สาโรช และ จำนง  สมรสกับ อาจารย์ศิรี ศิริจรรยา ในวันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม 2495
การศึกษา
            ท่านเรียนหนังสือที่จังหวัดภูเก็ตทั้งชั้นประถมและมัธยมจนจบมัธยมปีที่ 6 เมื่ออายุเพียง 13 ปี เพราะได้เรียนข้ามขั้นบ่อย ๆ สมัยโน้นการเดินทางจากเกาะภูเก็ตมากรุงเทพฯ ลำบากมาก บิดาจึงส่งไปเรียนที่ปีนังซึ่งอยู่ใกล้กว่า เดินทางโดยเรือคืนหนึ่งก็ถึงโรงเรียนที่ป ีนัง ชื่อ The Anglo-Chinese Boys School หรือ Anglo-Chinese School
   พ.ศ. 2478 สอบเข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ที่ 1 สำเร็จปริญญาตรี พ.ศ. 2481 ได้ปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต
(อ.บ.) และเรียนวิชาครูต่อ ได้ ป.ม. ในปี พ.ศ. 2482
   เมื่อเรียนจบอายุได้ 23 ปี เข้าสอนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สอนอยู่ได้ปีเศษ กรมวิสามัญศึกษาส่งไปเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่ โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ประมาณ 6 ปี ย้ายมาเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนฝึกหัดครูประถมพระนครได้ประมาณ 3-4 เดือน ได้รับทุนจากกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอเมริกาที่ The Ohio State University ใช้เวลาศึกษาปีเศษ ได้รับปริญญาโท (Master of Arts) ศึกษาต่ออีก 3 ปีเศษ ได้รับปริญญาเอก (Doctor of Philosophy) ได้ศึกษาและสำเร็จการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) รุ่นที่ 5 ในปี พ.ศ. 2506     
การทำงาน
เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ได้ทำงานที่กระทรวงศึกษาธิการ 3 เดือน หลังจากนั้นได้รับตำแหน่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- 1 มีนาคม 2496 - 31 มีนาคม 2496 เป็นอาจารย์โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง ถนนประสานมิตร
- 1 เมษายน 2496 - 30 กันยายน 2496 เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกหัดครูสูง ถนนประสานมิตร และได้เสนอให้ยกมาตรฐานวิชาชีพครู คือให้สอนถึงระดับปริญญา ตรี โท เอก ซึ่งท่านทำได้สำเร็จ กล่าวคือ โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง ถนนประสานมิตร ได้รับการยกฐานะเป็นวิทยาลัยวิชาการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2496 และมีพระราช บัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2497
- 1 ตุลาคม 2496 - 29 กันยายน 2497 เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยวิชาการ
- 30 กันยายน 2497 - 6 มีนาคม 2499 เป็นรองอธิการและหัวหน้าคณะวิชาการศึกษา วิทยาลัยวิชาการศึกษา ม.ล.ปิ่น มาลากุล รักษาการอธิการ
- 25 มกราคม 2498 ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทยคนแรก และได้เป็นนายกสมาคมสองสมัยติดต่อกัน สมาคมนี้ท่านและนักการศึกษาไทยได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนอาชีพครูและเผยแพร่แนวความคิดทางการศึกษา
- 7 มีนาคม 2499 - 1 มกราคม 2512 เป็นอธิการคนแรกของวิทยาลัยวิชาการ
- 2 มกราคม 2512 - 1 ตุลาคม 2513 เป็นรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ครั้งที่ 1)
- 2 ตุลาคม 2513 - 31 ธันวาคม 2516 เป็นอธิบดีกรมการฝึกหัดครู
- 1 มกราคม 2517 - 30 กันยายน 2519 เป็นรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ครั้งที่ 2)
บทบาทของศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี
1. ทำให้มีการสอนจนถึงระดับปริญญาตรี โท เอก แก่ผู้เรียนสายครูและศึกษาธิการ
2. จัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) เพื่อยกระดับวิชาชีพ ด้านการศึกษาให้มีปริญญา
3. จัดตั้งสมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทย
4. เผยแพร่แนวความคิดทางการศึกษาแผนใหม่อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
5. นำการศึกษาแผนใหม่มาใช้ คือ แบบพิพัฒนาการ (Progressive Education)
6. คิดตราและสีของวิทยาลัยวิชาการศึกษา ซึ่งปัจจุบันเป็นตราและสีของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตรา เป็นสัญลักษณ์เชิงปรัชญาการศึกษาแผนใหม่ การศึกษา คือ การงอกงาม งอกงามไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าเป็นทางการกระทำ แปลว่าเราจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนเพื่อว่าผู้เรียนจะได้งอกงามขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุดเหมือนกัน สีเทาแดง สีเทาเป็นสีของสมอง แสดงถึงความคิด ความฉลาดเฉลียว สีแดงเป็นสีของเลือด แสดงถึงความกล้าหาญ รวมกันแล้วมีความหมายว่า (ให้นิสิต) เป็นคนกล้าคิด กล้าหาญ และฉลาดเฉลียว
7. ริเริ่มสร้างและเผยแพร่ปรัชญาการศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์ วิธีสอนตามขั้นทั้ง 4 ของอริยสัจศึกษาศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ ฯลฯ
8. ส่งเสริมและสนับสนุนด้านจริยธรรมศึกษาและวัฒนธรรม ด้วยการเขียนและบรรยายเรื่องจริยธรรมศึกษา การศึกษาและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นแนวความคิดของท่านเอง
9. เขียนหนังสือ บทความ งานแปล และบรรยายจำนวนมาก เช่น
แนวคิดในการบริหารการศึกษา (หนังสือ) ความหมายของคำว่าประชาธิปไตยในแง่ของการศึกษา (บทความ) ปัญหาการศึกษาของโลก World Problems in Education (แปลจากหนังสือเล่มสำคัญขององค์การ International Bureau of Education, UNESCO เขียนโดย Jean Thomas)
 สิ่งที่ประทับใจ
          ท่านเป็นคนที่ทีความมุ่งมั่นในการเรียนมาก  สามารถนำไปเป็นตัวอย่างในการดำรงชีวิตได้  และท่านยังเป็นคนที่จิตวิญญาณความเป็นครูอย่างเต็มเปี่ยม  ถึงท่านเกษียณอายุราชการไปแล้วท่านก็ไม่ทิ้งงานของท่าน  จนท่านได้รับโล่ยกย่องเชิดชูเกียรติคุณในฐาน
 “ผู้ทำคุณประโยชน์อย่างสูงยิ่งต่อการศึกษาของชาติ”
   ที่มา : "ดร. สาโรช  บัวศรี.".  [ออนไลน์].  เข้าถึง   ได้จาก:http://www.swuaa.com/webnew/index.php?option

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 2

1.ศึกษาทฤษฎีและหลักการ(เจ้าของทฤษฎี)

ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา     ระยะที่ 1 ระหว่าง ค.ศ. 1887 – 1945 (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 10) ยุคนักทฤษฎี

การบริหารสมัยดั้งเดิม (The Classical organization theory) แบ่งย่อยเป็น 3 กลุ่มดังนี้
          1.กลุ่มการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของเทย์เลอร์(Scientific Management)ของ
เฟรดเดอริก เทย์เลอร์ (Frederick Taylor) ความมุ่งหมายสูงสุดของแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์คือ จัดการบริหารธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด Taylor มองคนงานแต่ละคนเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิตขององค์การได้ เจ้าของตำรับ “The one best way” คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญ 3 อย่างคือ
                    1.1 เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection)
                    1.2 ฝึกอบบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training)
                    1.3 หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation)
        เทย์เลอร์ ก็คือผลผลิตของยุคอุตสาหกรรมในงานวิจัยเรื่อง “Time and Motion Studies” เวลาและการเคลื่อนไหว เชื่อว่ามีวิธีการการทางวิทยาศาสตร์ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์เพียงวิธีเดียวที่ดีที่สุด เขาเชื่อในวิธีแบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างต้องรับผิดชอบต่อระดับบน เทย์เลอร์ เสนอ ระบบการจ้างงาน(จ่ายเงิน)บนพื้นฐานการสร้างแรงจูงใจ สรุปหลักวิทยาศาสตร์ของเทยเลอร์สรุปง่ายๆประกอบด้วย 3 หลักการดังนี้
                      1. การแบ่งงาน (Division of Labors)
                      2. การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (Hierarchy)
                      3. การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment)
          2. กลุ่มการบริหารจัดการ(Administration Management) หรือ ทฤษฎีบริหารองค์การอย่างเป็นทางการ(Formal Organization Theory ) ของ อังรี
ฟาโยล (Henri Fayol) บิดาของทฤษฎีการปฏิบัติการและการจัดการตามหลักบริหาร ทั้ง Fayol และ Taylor
จะเน้นตัวบุคลปฏิบัติงาน + วิธีการทำงาน ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลแต่ก็ไม่มองด้าน จิตวิทยา” (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 17)Fayol ได้เสนอแนวคิดในเรื่องหลักเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป 14 ประการ แต่ลักษณะที่สำคัญ มีดังนี้
                    2.1 หลักการทำงานเฉพาะทาง (Specialization) คือการแบ่งงานให้เกิดความชำนาญเฉพาะทาง
                    2.2 หลักสายบังคับบัญชา เริ่มจากบังคับบัญชาสูงสุดสู่ระดับต่ำสุด
                    2.3 หลักเอกภาพของบังคับบัญชา (Unity of Command)
                    2.4 หลักขอบข่ายของการควบคุมดูแล (Span of control) ผู้ดูแลหนึ่งคนต่อ 6 คนที่จะอยู่ใต้การดูแลจึงจะเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด
                    2.5 การสื่อสารแนวดิ่ง (Vertical Communication) การสื่อสารโดยตรงจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
                    2.6 หลักการแบ่งระดับการบังคับบัญชาให้น้อยที่สุด คือ ไม่ควรมีสายบังคับบัญชายืดยาว หลายระดับมากเกินไป
                    2.7 หลักการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างสายบังคับบัญชาและสายเสนาธิการ (Line and Staff Division)
          3. ทฤษฎีบริหารองค์การในระบบราชการ(Bureaucracy) มาจากแนวคิดของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ที่กล่าวถึงหลักการบริหารราชการประกอบด้วย
                    3.1 หลักของฐานอำนาจจากกฎหมาย
                    3.2 การแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่ต้องยึดระเบียบกฎเกณฑ์
                    3.3 การแบ่งงานตามความชำนาญการเฉพาะทาง
                    3.4 การแบ่งงานไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว
                    3.5 มีระบบความมั่นคงในอาชีพ
              จะอย่างไรก็ตามระบบราชการก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งในด้าน ข้อเสีย คือ สายบังคับบัญชายืดยาวการทำงานต้องอ้างอิงกฎระเบียบ จึงชักช้าไม่ทันการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน เรียกว่า ระบบ “Red tape” ในด้านข้อดี คือ ยึดประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก การบังคับบัญชา การเลื่อนขั้นตำแหน่งที่มีระบบระเบียบ แต่ในปัจจุบันระบบราชการกำลังถูกแทรกแซงทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ทำให้เริ่มมีปัญหา
    ระยะที่ 2  ระหว่าง ค.ศ. 1945 – 1958 (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 10) ยุคทฤษฎี
มนุษยสัมพันธ์ (Human Relation ) Follette ได้นำเอาจิตวิทยามาใช้และได้เสนอ
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง(Conflict) ไว้ 3 แนวทางดังนี้
              1. Domination คือ ใช้อำนาจอีกฝ่ายสยบลง คือให้อีกฝ่ายแพ้ให้ได้ ไม่ดีนัก
              2. Compromise คือ คนละครึ่งทาง เพื่อให้เหตุการณ์สงบโดยประนีประนอม
              3. Integration คือ การหาแนวทางที่ไม่มีใครเสียหน้า ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ทาง
ระยะที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1958 – ปัจจุบัน (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 11) ยุคการใช้ทฤษฎีการบริหาร(Administrative Theory)หรือการศึกษาเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science Approach) ยึดหลักระบบงาน + ความสัมพันธ์ของคน + พฤติกรรมขององค์การ ซึ่งมีแนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่หลายๆคนได้แสดงไว้ดังต่อไปนี้
        1.เชสเตอร์ ไอ บาร์นาร์ด (Chester I Barnard ) เขียนหนังสือชื่อ The Function of The Executive ที่กล่าวถึงงานในหน้าที่ของผู้บริหารโดยให้ความสำคัญต่อบุคคลระบบของความร่วมมือองค์การ และเป้าหมายขององค์การ กับความต้องการของบุคคลในองค์การต้องสมดุลกัน
        2.ทฤษฎีของมาสโลว์ ว่าด้วยการจัดอันดับขั้นของความต้องการของมนุษย์ (Maslow – Hierarchy of needs) เป็นเรื่องแรงจูงใจแบ่งความต้องการของมนุษย์ตั้งแต่ความต้องการด้านกายภาพ ความต้องการด้านความปลอดภัยความต้องการด้านสังคม ความต้องการด้านการเคารพ นับถือ และประการสุดท้าย คือ การบรรลุศักยภาพของตนเอง (Self actualization) คือมีโอกาสได้พัฒนาตนเองถึงขั้นสูงสุดจากการทำงาน แต่ความต้องการเหล่านั้นต้องได้รับการสนองตอบตามลำดับขั้น
        3.ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ของแมคกรีกอร์(Douglas MC Gregor Theory X,
Theory Y ) เขาได้เสนอแนวคิดการบริหารอยู่บนพื้นฐานของข้อสมมติฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ต่างกัน ทฤษฎี X(The Traditional View of Direction and Control) ทฤษฎีนี้เกิดข้อสมติฐานดังนี้
                    1. คนไม่อยากทำงาน และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
                    2. คนไม่ทะเยอทะยาน และไม่คิดริเริ่ม ชอบให้การสั่ง
                    3. คนเห็นแก่ตนเองมากกว่าองค์การ
                    4. คนมักต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
                    5. คนมักโง่ และหลอกง่าย
ผลการมองธรรมชาติของมนุษย์เช่นนี้ การบริหารจัดการจึงเน้นการใช้เงิน วัตถุ เป็นเครื่องล่อใจ เน้นการควบคุม การสั่งการ เป็นต้น
              ทฤษฎี Y(The integration of Individual and Organization Goal) ทฤษฎีข้อนี้เกิดจากข้อสมติฐานดังนี้
                    1. คนจะให้ความร่วมมือ สนับสนุน รับผิดชอบ ขยัน
                    2. คนไม่เกียจคร้านและไว้วางใจได้
                    3. คนมีความคิดริเริ่มทำงานถ้าได้รับการจูงใจอย่างถูกต้อง
                    4. คนมักจะพัฒนาวิธีการทำงาน และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
              ผู้บังคับบัญชาจะไม่ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด แต่จะส่งเสริมให้รู้จักควบคุมตนเองหรือของกลุ่มมากขึ้น ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันจากความเชื่อที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดระบบการบริหารที่แตกต่างกันระหว่างระบบที่เน้นการควบคุมกับระบบที่ค่อนข้างให้อิสระภาพ
        4.อูชิ (Ouchi ) ชาวญี่ปุ่นได้เสนอ ทฤษฎี Z (Z Theory) (William G. Ouchi) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย UXLA (I of California Los Angeles) ทฤษฎีนี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X , Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระ และมีความต้องการหน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมายขององค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบุคคลในองค์การ
2.  นำหลักการดังกล่าวไปใช้อย่างไร
     การตอบสนองคน ด้านความต้องการศักดิ์ศรี การยกย่อง จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานจากแนวคิด “มนุษยสัมพันธ์

ที่มา  http://www.kru-itth.com/

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 1

การจัดการชั้นเรียน  คือ  การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพในห้องเรียน  การจัดการกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียน  การสร้างวินัยในชั้นเรียน  ตลอดจนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู  และการพัฒนาทักษะการสอนของครูให้สามารถกระตุ้นพร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจในการเรียน  เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
การบริหารการศึกษา   หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ เพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมในทุกๆ ด้าน นับแต่ บุคลิกภาพ ความรู้ ความสามารถ เจตคติ พฤติกรรม คุณธรรม เพื่อให้มีค่านิยมตรงกันกับความต้องการของสังคม โดยกระบวนการต่างๆ ที่อาศัยควบคุมสิ่งแวดล้อมให้มีผลต่อบุคคล และอาศัยทรัพยากร ตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคคลพัฒนาไปตรงตามเป้าหมายของสังคมที่ตนดำเนินชีวิตอยู่

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แนะนำตัวเอง

ชื่อ  นางสาวจันทร์ทิพย์  ฤทธิเรือง
ชื่อเล่น  น้ำอ้อย
วันเกิด  3  ตุลาคม  2531
การศึกษา
ประถมศึกษา  โรงเรียนท่าศาลา
มัธยมศึกษา   โรงเรียนท่าศาลาประสิทธิ์ศึกษา
กำลังศึกษา  หลักสูตรสังคนศึกษา  คณะครุศาสตร์  มหาวิทยทลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช
ปรัชญาชีวิต  หากเดินตามรอยเท้าคนอื่น  ไม่มีรอยเท้าเป็นของตัวเอง